พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร)
ประวัติโดยสังเขป
หลวปู่ภู วัดอินทรวิหาร ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2373 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาเจษฎาบดินทร์
ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยบิดามีนามว่า นายคง โยมมารดามีนามว่า นางอยู่
เมื่ออายุได้ 9 ปี
บิดามารดาท่านได้พาท่านไปบรรพชาเป็นสามเณรตรงกับปี พ.ศ. 2382 ที่วัดท่าคอย
ได้ศึกษาเล่าเรียกอักขระสมัย (ภาษาขอม) และหนังสือไทย กับท่านอาจารย์ วัดท่าแค
จนกระทั่งเมื่อมีอายุ 21 ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. 2394 ณ พัทธสีมา
วัดท่าคอย โดยมี พระอาจารย์อ้น วัดท่าคอย เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์คำ วัดท่าแค
เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มา
วัดน้ำหัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามทางพระว่า "จนฺทสโร"
หลังจากอุปสมบทแล้วท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่สำนักวัดท่าแคชั่วระยะหนึ่งก็ได้ออกเดินธุดงค์
จากจังหวัดตากมาพร้อมกับพระพี่ชาย คือ หลวงปู่ใหญ่
หลวงปู่ภูท่านได้เข้าไปในกรุงเทพมหานคร ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ แล้วได้ไปช่วยรักษาคนไข้ที่บาดเจ็บ
เป็นอหิวาตักโรค ต่อมาท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสามปลื้ม
ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดจักรวรรดิ์ราชาวาสและได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่
วัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ตามลำดับ
และท่านได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดอินทรารามเมื่อปี พ.ศ. 2432 และได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อปี
พ.ศ. 2434 ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูกิตติมศักดิ์
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ จนถึงวันมรณภาพเป็นเวลา ๑๓ ปี ท่านถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2476 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
ฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลวงปู่ภูท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม
ท่านนับว่าเป็นศิษย์ที่ใกล้ชิดเจ้าประคุณสมเด็จมากองค์หนึ่ง
หลวงปู่ภูท่านมีอายุยืนถึง 103 ปี พระที่ท่านสร้างขึ้นนั้นเข้าใจว่าท่านสร้างไว้ตั้งแต่ประมาณ
พ.ศ.1463 เรื่อยมาหลายปี
จำนวนพระที่สร้างขึ้นนั้นจึงมากมายหลายพิมพ์มูลเหตุในการสร้างพระเครื่องของ
ท่านก็เพื่อหาทุนปฏิสังขรณ์พระศรีอาริยเมตไตรย์ (หลวงพ่อโต วัดอินทร์)
ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างไว้ได้เพียงครึ่งองค์ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็มามรณภาพลงเสียก่อนหลวงปู่ภูได้มรณภาพเมื่อวันเสาร์ที่
6 พฤษภาคม 2476 เวลา 01.15 น. สิริอายุ 104 ปี พรรษา 83
พระจริยาวัตร
หลวงพ่อท่านได้ออกธุดงค์เป็นประจำไม่เคยขาด
ร่วมเดินธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)
เป็นบางครั้งบางคราวบางทีท่านออกธุดงค์ก็มีพระภิกษุติดตามด้วยท่านได้เล่าให้ฟังว่า
ถึงเรื่องแปลกๆที่ด้ออกรุกขมูลไปตามป่าเขามากมายหลายเรื่องซึ่งล้วนแล้วแต่ตื่นเต้นน่าอ่านมาก
ตลอดระยะเวลาที่ท่านมีชิวิตอยู่ ท่านไม่เคยปล่อยเวลาว่างให้เป็นประโยชน์
มุ่งหน้าปฏิบัติมีพุทธภูมิเป็นที่ตั้ง การร่ำเรียนวิชาอาคมมา
ก็เพียงเพื่อช่วยเหลือ
ผู้ที่กำลังทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บนับว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงส่ง
ท่านปฏิบัติธรรมอย่าเคร่งครัด และออกบิณฑบาตเป็นประจำทุกวัน
แต่ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องออกก็ได้ เพราะ เจ้าฟ้าสมเด็จกรมพระนครสวรรค์พินิจ
ได้จัดอาหารมาถวายทุกวัน แต่ท่านก็ออกไปบิณฑบาต เพราะเป็นกิจของสงฆ์
ท่านฉันจังหันเสร็จแล้ว ก็จะครองผ้าลงโบสถ์และลั่นดานประตู
เพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนท่าน จะเจริญพุทธมนต์ถึง ๑๔ ผูก วันละ ๗
เที่ยวแล้วจึงนุ่งวิปัสสนากรรมฐานต่อไปจนถึงเที่ยวทุกๆวัน
ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ขณะที่นั่งกรรมฐานอยู่พอได้เวลาเที่ยง
ทางการจะยิงปืนใหญ่ (เพื่อบอกเวลาว่าเที่ยงแล้ว)ในขณะที่ยิงปืนใหญ่
กูหงายหลังทุกทีพอท่านพักได้ชั่วครู่ก็จะบำเพ็ญเจริญภาวนาต่อไปจนถึงตีหนึ่ง
จึงจะจำวัด ท่านสามารถรูปเหตุการณ์ล่วงหน้า อย่างเช่น
ในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นประชาธิปไตย
เป็นต้น
พระเครื่อง-วัตถุมงคลของหลวงปู่ภู
"พระเครื่องหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหารกันนะครับ
พระเนื้อผงรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบพระสมเด็จนั้น
พระของหลวงปู่ภูก็เป็นที่นิยมกันมากเช่นกัน
และหลวงปู่ภูท่านก็เป็นลูกศิษย์ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
อีกด้วย"
เนื้อหามวลสารในการสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลของท่านนั้นก็ได้นำมวลสารผงวิเศษห้า
ประการของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาเป็นส่วนผสมในการสร้างด้วย
เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ
เมื่อครั้งที่ท่านมาช่วยสร้างพระเครื่องที่วัดบางขุนพรหมนั้น
ท่านได้มาพักอยู่ที่วัดอินทร์กับหลวงปู่ภู และท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ
ก็ได้สร้างพระหลวงพ่อโตไว้ที่วัดอินทร์แห่งนี้
แต่ยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์เจ้าประคุณสมเด็จฯ
ก็มามรณภาพลงเสียก่อนตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ดังนั้น
พระสมเด็จของหลวงปู่ภูจึงมีมวลสารผงวิเศษของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผสมอยู่ด้วย
พระสมเด็จหลวงปู่ภู นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ทรง เช่น
พิมพ์แซยิดแขนหักศอก พิมพ์แซยิดแขนกลม พิมพ์เจ็ดชั้น พิมพ์หูติ่ง
พิมพ์แปดชั้นแขนหักศอก พิมพ์แปดชั้นแขนกลม พิมพ์สามชั้นหูบายศรี พิมพ์ลีลา
พิมพ์ปิดตา พิมพ์พระสังกัจจายน์ ซึ่งมีทั้งแบบข้างเม็ดและพิมพ์ห้าเหลี่ยม
พิมพ์ไสยาสน์ และพิมพ์ห้าเหลี่ยม เป็นต้น
พระสมเด็จหลวงปู่ภู ที่สร้างในยุคต้นๆ
นั้นเนื้อหาจะดูจัดหนึกนุ่มคล้ายเนื้อพระสมเด็จของวัดระฆังฯ มาก
และส่วนมากจะมีความหนาเป็นพิเศษ ในปีต่อๆ มาท่านก็ได้สร้างพระไปเรื่อยๆ
จวบจนท่านมรณภาพ พระสมเด็จของหลวงปู่ภูที่มีความนิยมมากๆ
และมีสนนราคาสูงก็คือพระสมเด็จพิมพ์แซยิดแขนหักศอกและพิมพ์แซยิดแขนกลม
ซึ่งสนนราคาพระสวยๆ สมบูรณ์อยู่ที่หลักแสนครับ พระพิมพ์อื่นๆ ก็นิยมรองลงมา เช่น
พิมพ์แปดชั้นแขนหักศอก และพิมพ์แปดชั้น แขนกลม สนนราคาก็อยู่ที่หลักหมื่นปลายๆ
ถึงแสน ส่วนพระพิมพ์อื่นๆ ก็นิยมเช่นกันแต่สนนราคาจะย่อมเยาว์กว่า
แต่ก็อยู่ที่หลักหมื่นต้นๆ จนถึงหมื่นปลายๆ ครับ
พระสมเด็จของหลวงปู่ภูเป็นพระที่น่าบูชาอย่างยิ่ง แต่ปัจจุบันก็หายากพอสมควรครับ
โดยเฉพาะพิมพ์แซยิด ทั้งพิมพ์แขนหักศอกและพิมพ์แขนกลม
ภาพพระทั้ง7องค์นี้ไช่ของปุ่ภูใหมครับ
ตอบลบ