วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เมืองพิจิตร

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เมืองพิจิตร

ผู้ที่มีวาจาสิทธิ์แห่งวัดบางคลาน


หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ วัดบางคลาน ตำบลบางคลาน อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัดพิจิตร

          ท่านเกิดวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๓๕๓ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ เดือน ๑๑ ปีฉลู ในต้นสมัยรัชการที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (นับถึงวันนี้ก็ล่วงเวลามาได้  ๑๙๘ ปีแล้ว)  ชื่อเสียงของท่านคุณงานความดี และเรื่องพุทธคุณ อิทธิคุณ นั้นก็มีลูกศิษย์นับถือมากมายมิได้เสื่อมคลาย โดยเฉพาะพระเครื่องหลวงพ่อเงิน ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของนักสมอีกด้วยอย่างมากจรถึง ณ ปัจจุบัน

ประวัติโดยสังเขป

          หลวงพ่อเงินเป็นบุตรของคุณพ่อ อู๋ ชาวบ้านบางคลาน ตำบลบางคลาน อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัดพิจิตร กับแม่ ฟัก ชาวบ้านอำเภอขานุวรลักษ์ จังหวัดกำแพงเพชร มีพี่น้องรวมกัน๖ คน ดังนี้
๑.คุณพรม เป็นชาย
๒.คุณทับ เป็นหญิง
๓.คุณทอง เป็นชาย (มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนภุมรา)
๔.หลวงพ่อเงิน
๕.คุณหล่ำ เป็นชาย
๖.คุณรอด เป็นหญิง
   

การอุปสมบท


             หลวงพ่อเงินอายุ ๓ ขวบ ลุงได้พาเข้ากรุงเทพ (ลุงของท่านชื่อช่วง) และได้เลี้องดูท่านมาจนโตเจริญวัย พออายุได้เข้าเรียนหลังสือท่านได้มาเรียนที่วัดตองปุ (วัดชนะสงครามกรุงเทพมหานคร)
หลังได้เล่าเรียนพอรู้หนังสือได้พอสมควรแล้ว ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อายุ ๑๒ ปี ได้มีโอกาศเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนกระทั่งลาสิขาออกมาอายุใกล้ครบ ๒๐ ปี
             ขณะที่สึกมาเป็นฆราวาสนั้น ท่านได้ไปอยู่อาศัยกับพี่ชายและพี่สะใส้ จนได้พบรักกับสาวคนหนึ่ง ทั้งสองคนคบกันระยะหนึ่งแต่ด้วยเหตุผลได้มิทราบ แล้วหลังจากนั้นท่านได้กลับมาบวชเป็นภิกษุอีกครั้ง และไม่ยอมสึกตลอดชีวิต
                หลวงพ่อเงินได้จำพรรษาที่วัดตองปุเป็นระยะสั้นๆไม่นานนั้นท่านอีกคนได้มารับท่านกลับไปอยู่วัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) เนื่องจากคุณปู่เริ่มล้มป่วย แต่พอคุณปู่สิ้นบุญและหลวงพ่อเงินได้จัดงานศพเรียบร้อยแล้ว จึงเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านวังตะโก ตำบลบางคลาน พิจิตร โดยมาปลูกกุฏิหลังหนึ่งด้วยคลังคามุงแฝก
                ก่อนที่หลวงพ่อเงินจะเดินทางจากวัดคงคาราม ท่านได้นำกิ่งโพธิ์มากิ่งหนึ่ง และนำมาปลูกไว้ที่ริมตลิ่ง (ปัจจุบันคือบริเวณหน้าโบถส์วัดบางคลาน ซึ่งห่างจากวัดบางคลานใต้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก) แล้วได้ อธิฐานว่า ถ้าจะมีชิวิตเจริญก้าวหน้าในพระพุทธศาสนาต่อไป ก็ขอให้ต้นโพธิ์ต้นนี้มีความเจริญเติบโตเช่นกัน
                หลายปีต่อมา ต้นโพธ์ต้นนั้นก็โตขึ้นจนแตกกิ่งก้านแผ่สาขาจนกระทั่งปัจจุบัน และวัดตะโกก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดบางคลานที่มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ จนเป็นวัดใหญ่โตถึงปัจจุบันนี้
                หลวงพ่อเงินเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น จากคำบอกเล่าของชาวบ้านและลูกศิษย์ที่เคยผ่านมาพบท่าน โดยเล่าสืบต่อๆ กันมากันว่า เวลาญาติโยมไปหาท่านก็ออกมานั่งรอรับแขกและญาติโยมที่กุฏิด้วยการนั่งสมาธิ ในมือจะถือบุหรี่พื้นเมืองตลอดเวลา และเมื่อเวลาทำน้ำมนตร์ หลวงพ่อมักจะเอานิ้วเท้าข้างขวาคีบมวนบุหรี่เอาไว้ปล่อยให้มันดับเอง แล้วก็จะจุดมันขึ้นมาสูบใหม่เสมอ

เรื่องเล่าของหลวงพ่อเงิน


                กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งโปรดการศึกษาและสนพระทัยในวิชาอาคมและไสยยาสตร์ต่างๆ จากพระอาจารย์ชื่อดังในสมัยนั้นหลายคน เช่นหลวงปู่ศุขแห่งวัดมะขามเฒ่าจนจบสิ้น และได้ทรงถามพระอาจารย์ว่ามีอาจารย์ใดบ้างที่เก่งกว่าท่าน หรือเทียบเท่าเสมอกัน หลวงปู่ศุขได้ทูลไปว่า ยังมีอีกรูปหนึ่งชื่อ เงิน สำนัอยู่ที่วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร ซึ่งไปทางเหนืออีกเล็กน้อยเป็นพระอาจารย์ที่เก่งและศิษย์สำนักเดียวกับท่าน แต่มีอายุกว่าท่าน
                จากนั้นเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ก็ทรงเดินทางขึ้นไปพบหลวงพ่อเงินที่วัดบางคลานโดยทางเรือ ครั้นถึงหน้าวัดก็ทรงถามถึงหลวงพ่อเงินทันที แต่ก็ได้รับคำตอบจากพระในวัดว่า หลวงพ่อไม่อยู่และไม่รู้เวลากลับ เสด็จในกรม ฯ จึงล่องเรือกลับลงทางใต้ และตอนเย็นก็ทรงให้นำเรือขึ้นไปใหม่ จนพบหลวงพ่อเงินยืนรออยู่ที่หน้าวัด คล้ายกับจะรู้ด้วยณานของท่านว่าจะมีบุคคลผู้สูงศักดิ์มากราบนมัสการขอเรียนวิชาอาคมอยู่ด้วย และต่อมาเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรก็ได้มาศึกษาวิชาอาคมอยู่กับหลวงพ่อเงินที่วัดบางคลานเป็นเวลาถึงยี่สิบกว่าวัน จึงสำเร็จลุล่วงไปดังพระประสงค์

การมรณะภาพ


                หลวงพ่อเงิน ได้มรณะสังขารไปเมื่อวันศุกร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะแม ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๖๒ รวมอายุ ๑๐๖ ปี (โดยมีชีวิตอยู่ถึง ๕ รัชสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๒-๖ ) ซึ่งนับว่าเป็นผู้มีอายุยืนยาวมากพอสมควร และเป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดจนถึงทุกวันนี้ (วันเกิดและวันมรณะภาพของท่านเป็นันเดียวกันคือวัน ศุกร์)
                หลังจากที่มีการฌาปนกิจศพของหลวงพ่อเงินแล้ว อัฐิธาตุของหลวงพ่อเงินก็กลายเป็นพระธาตุและมีผู้คนที่ได้ไปพากันหวงแนที่สุด แม้แต่จีวรของท่านก็มีผู้คนพากันมาฉีกแบ่งเก็บเอาไปบูชา ใครมีไว้ติดตัวถือว่าเป็นของที่วิเศษยิ่ง

วัตถุมงคลและพระเครื่องของหลวงพ่อเงิน


                ของขลังและพระเครื่องยอดนิยอมของหลวงพ่อเงิน มีสิ่งหนึ่งที่มอบไว้ให้ลูกศิษย์ นั่นคือ ลูกประคำ ซึ่งมีอภินิหารมาก เพราะใช้ในการนับเจริญภาวนะพระคาถา หรือเจริญมนต์ในบทต่างๆซึ่งหลวงพ่อเงินได้มอบไว้ให้ลูกศิษย์ ก่อนที่จะมรภาพและมีคนต้องการมาก แต่ก็เอาไปไม่ได้ แม้จะทำการปล้นบ้านศิษย์คนนั้นก็ตามก็ไม่อาจจะเข้าบ้านได้เลย แต่ปัจจุบันนี้ลูกประคำได้สูญไปหรือตกไปอยู่ในมือของใครมือทราบ
                แต่ส่วนทั่วไป วัตถุมงคลหรือพระเครื่องต่างๆ ของหลวงพ่อเงินที่เห็นกันเวลานี้จะเป็นพระเครื่องหรือวัตถุมงคลหรือวัตถุรุ่นหลังทั้งสิ้น เป็นการสร้างเพื่อทำนุบำรุงศาสนสถานของวัดต่างๆ
                ส่วนพระเครื่องรูปหล่อเหมือนของหลวงพ่อเงินแบบลอยองค์ (หรือลอยตัว) ที่เรียกว่า เบ้าทุบ และพิทพ์ขี้ตา ถือกันว่าเป็นของที่หายากมากในปัจจุบันผู้ใดที่มีไว้ครอบครองก็เปรียบเสมือนมีเงินหลายล้านอยู่กับตัว เพราะปัจจุบันนี้ราคาหลวงพ่อเงินแพงมากๆจริงๆ ไม่แพ้พระสมเด็จ วัดระฆังเลยทีเดียว




สาเหตุที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีว่าจาสิทธิ์

                เมื่ออดีตช้างของหลวงพ่อเชือกหนึ่งถูกขโมยลักพาไป ท่านได้พลั้งคำพูดออกไปโดยมิได้ตั้งใจว่า ใครเอาช้างไป ถ้าไม่เอามาคืน มันจะต้องมีอันเป็นไป ในที่สุดผู้ที่มาลักช้างไปก็เสียชีวิตลงอย่างสยดสยองในเวลาต่อมา ดังนั้น ลูกศิษย์ลูกหาจึงตั้งฉายาให้ท่านว่า หลวงพ่อเงิน วาจาสิทธิ์

2 ความคิดเห็น: